“True Money Wallet” เป็นแอพพลิเคชั่นด้านการใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือไม่ว่าจะเติมเงิน โอนเงิน และชำระบิลสำหรับลดปัญหาที่มักเกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นลืมจ่ายบิล, ไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมแต่ก็ไม่อยากไปรอคิวนานที่ช้อป, หรือเจอปัญหาต่อแถวยาวเมื่อต้องไปชำระบิลที่ 7-11หากจ่ายเกินดิวและเสียค่าปรับอีกก็จำเป็นต้องสละเวลาไปชำระเงินเพิ่มเติมที่ช้อปทรูอีก ฉะนั้นเพียงเปิดใช้งานและใช้จ่ายผ่านTrue Money Walletนอกจากจะประหยัดเวลาอันมีค่าในยุคที่ผู้คนเร่งรีบแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมที่เกิดกับการใช้บัตรเครดิตหรือจะเป็นการใช้บริการที่ช่องทางอื่นได้เช่นกัน
นอกจากนี้True Money Walletยังสามารถเช็คยอดการชำระบิลแบบเรียลไทม์ ดูบิลย้อนหลัง เก็บบิลไว้ในรายการโปรดก็สามารถทำได้ หากครั้งต่อไปจะจ่ายบิลแม้ไม่มีบิลก็สามารถจ่ายได้และยังแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงกำหนดชำระ ทำให้ไม่พลาดการจ่ายบิลและประหยัดเวลาไปได้อีกมากซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้สามารถทำได้ง่ายๆผ่าน True Money Walletที่ให้คุณสะดวก รวดเร็ว และมั่นใจ
ขั้นตอนการเปิดใช้งาน True Money Wallet เริ่มต้นด้วย
1. ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่ App Store สำหรับผู้ใช้ iOSพร้อมลงทะเบียนขอเปิดบัญชีด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือหรืออีเมล์ เมื่อลงทะเบียนเสร็จเรียบระบบจะทำการส่ง SMS เป็นหมายเลขรหัส 6 หลักเพื่อนำไปกรอกในช่องรหัส OTPเพื่อเป็นการยืนยันการใช้บริการ ที่สำคัญแอพ True Money Wallet สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้กับทุกเครือข่ายด้วย
2. เมื่อเข้ามาที่หน้าหลักของบริการแล้วผู้ใช้จำเป็นต้องเติมเงินเข้า Wallet เสียก่อนเริ่มจากการแตะที่ไอคอนวงกลมที่เป็นโลโก้ของTrue Money Wallet เพื่อทำการเติมเงินด้วยการผูกบัญชีกับธนาคาร ซึ่งท่านสามารถทำได้เองผ่านตู้ ATM ที่เป็นไทยพาณิชย์,กรุงเทพ,กรุงไทย โดยวิธีนี้ในแอพพลิเคชั่นจะมีรายละเอียดและขั้นตอนบอกไว้อย่างชัดเจนนอกจากนี้ผู้ยังสามารถเติมเงินเข้าWallet ผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น เติมเงินผ่านตู้ ATMได้ทุกธนาคาร, ทรูชอป,ซีพีเฟรชมาร์ท หรือตู้ true kioskได้เช่นกัน
3.เมี่อมีเงินในบัญชีแล้ว ในหน้าหลักของแอพจะปรากฎรายชื่อของผู้ใช้บริการ รวมไปถึงยอดเงินในTrue Money Walletเพียงเท่านี้คุณสามารถเลือกบริการจากทรูมันนี่ได้แล้วทันทั้งจ่ายบิล เติมเงิน และโอนเงิน

สำหรับบริการหลักทั้ง 3 ของ True Money Wallet มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.บริการเติมเงิน (Top Up)ผู้ใช้บริการสามารถเติมเงินค่าโทรศัพท์ที่เป็นทรูมูฟหรือทรูมูฟเอชเพียงกดหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ต้องการเติมเงิน และกดจำนวนเงินที่ผู้ใช้สามารถเลือกเติมได้ตั้ง 10 บาท ไปจนถึง 1,000 บาทซื้อไอเทมเกม ชั่วโมงอินเตอร์เน็ต หรือเฟซบุ๊คได้ทุกที่ ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะผู้ใช้จะอยู่ที่ไหนก็ตามสร้างความรู้สึกเสมือนมีตู้เอทีเอ็มส่วนตัวอยู่ในมือของคุณ
2.บริการชำระบิล (Bill Payment) ถือเป็นจุดเด่นที่ทางทรูมันนี่ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยฟังก์ชั่น Scan & Payเพียงใช้กล้องถ่ายรูปสแกนบาร์โค้ดจากบิลค่าใช้จ่ายที่ต้องการชำระเงินเสมือนมีเคาน์เตอร์บริการอยู่ในมือคุณ หากผู้ใช้ไม่มีบิลค่าใช้จ่ายอยู่ในมือถือคุณก็ยังสามารถเลือกประเภทบิลที่ต้องการชำระเงินได้ตั้งแต่ บิลทรู, บัตรเครดิต/สินเชื่อบุคคล, บริการลีสซิ่ง, ประกันภัย ตลอดจนบริการเอ็ม พาวเวอร์และมีสทีนโดยในเรื่องค่าธรรมเนียมการชำระบิลในเครือบริษัททรูจะได้รับการยกเว้น แต่หากเป็นการชำระบิลของบริษัทอื่นๆจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราที่บริษัทกำหนดแต่ในช่วงนี้จนถึงสิ้นปี ค่าธรรมเนียมในการชำระบิลอื่น ๆ พิเศษเพียง 5 บาทเท่านั้น
ยกตัวย่างการชำระบิลแบบเลือกประเภท เมื่อผู้ใช้เลือกชำระบิลทรูออนไลน์ระบบจะให้กรอกเบอร์โทรศัพท์บ้าน เมื่อใส่เบอร์เรียบร้อยแล้วกดปุ่มถัดไปจะปรากฎยอดค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระเสมือนใบเสร็จขนาดย่อโดยคุณสามารถเลือกเปลี่ยนยอดชำระได้จากนั้นให้กดปุ่มชำระด้วย Wallet เพื่อดำเนินการขั้นต่อไป หากเงินใน Wallet ไม่เพียงพอแอพจะมีป็อบอัพแจ้งเตือนทันที
ในบริการชำระบิลผู้ใช้ยังดูรายการย้อนหลังได้รวมไปมีการแจ้งเตือนการชำระบิลในรอบถัดไป และสามารถตั้งค่าอไว้เป็นรายการโปรดเพื่อความรวดเร็วในการใช้งานครั้งต่อไปได้
3.บริการโอนเงิน (Transfer)ทำหน้าที่โอนเงินเข้าบัญชีทรูมันนี่หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารด้วยเบอร์โทรศัพท์ของผู้รับปลายทางแทนที่หมายเลขบัญชีได้ฟรีเรื่องค่าธรรมเนียม!! หรือจะกดเบิกเงินสดจาก True Money Walletก็ยังสามารถทำได้ที่ตู้ ATM ตลอด 24 ชั่วโมง
True Money Wallet แอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุดจากทรูมันนี่เปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้งานแบบฟรีๆแล้ว เฉพาะผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS  สำหรับผู้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ทางทรูมันนี่จะเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีเช่นกันในเดือนตุลาคมปีนี้

Posted on 01:38 by Unknown

No comments


หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินคนนั้น คนนี้พูดกันถึงเรื่องเทคโนโลและวิวัฒนาการของเว็บไซต์แล้วอาจจะได้ยินคำเหล่านี้ Web 1.0, web 2.0, web 3.0, web 4.0... และอาจจะเข้าใจบ้าง งงๆบ้าง ไหนๆ เราก็ต้องอยู่กับมันและคงจะได้ยินคนพูดกันไปกันมาบ่อยๆถือโอกาสสรุปไว้หน่อยดีกว่า เพราะล่าสุดก็เพิ่งเอาเรื่องนี้ไป Present อบรมให้กับลูกค้ารายหนึ่งมา
แนะนำให้รู้จักกับ WEB 1.0, 2.0, 3.0, 4.0
WEB 1.0 คืออะไร
ลองนึกย้อนไปตอน Internet เพิ่งเริ่มมีการพัฒนาอย่างจริงๆจังๆ (คงไม่รวมเอาแบบยุคเริ่มต้นเกินไปก็ได้นะ) เราจะเริ่มหรือเคยเห็นมีเว็บไซต์หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของเว็บไซต์ก็จะเป็นการนำเอาข้อมูลที่ตัวเอง ต้องการนำเสนอไปทำในรูปแบบของ html หรือข้อมูลต่างๆที่เราเห็นอยู่นั่นแหละไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ หรืออินเตอร์เน็ต ส่วนเราผู้ใช้ก็มีหน้าที่ คือกดเข้าไปอ่านส่วนเจ้าของก็คือมีหน้าที่คือ Update ข้อมูลเข้ามาทำกันไปกันมาแบบเดียวกันนี้แหละ ซึ่งโดยสรุปเราอาจจะเรียกวิธีการแบบนี้ว่าเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว หรือเรียกว่า One Way Communication ก็ได้

WEB 2.0 คืออะไร
จาก WEB 1.0 ต่อมาเว็บไต์ก็เริ่มมีการพัฒนา พวก WEB Board, Blog, มีการนำภาพมาแชร์ นำ วีดีโอ มา Post มีการแชร์ แบ่งปัน แลกเปลี่ยน พูดคุย ถกเถียงกัน นินทา ประจาน ใส่ร้ายก็มี ทั้งจากเจ้าของเว็บไซต์เอง หรือจากคนที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์กันเองเรียกว่า ผู้ใช้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ข้อมูล หรือ Content ในเว็บไซต์นั้นมีการ update และพัฒนา ปรับปรุง อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีรูปแบบของการสื่อสารเป็นแบบสองทาง หรือ Two Way Communication ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ทำให้ อินเตอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากกกก ลองดูข้อมูลที่ผมได้มา จากภาพก็พอจะเข้าใจว่าเกิดไรขึ้นบ้างในช่วงเวลาไม่กี่ปีของการพัฒนาจาก WEB 1.0 มาเป็น web 2.0
แนะนำให้รู้จักกับ WEB 1.0, 2.0, 3.0, 4.0

WEB 3.0 คืออะไร
ที นี้..จาก WEB 2.0 ก็เริ่มขยับก้าวเข้ามาสู่ช่วงของ WEB 3.0 ...แล้วอะไรละที่เพิ่มเข้ามา ก็มีคนสรุปไว้ค่อนข้างเยอะ ผมเองก็อ้างอิงและผนวกกับประสบการณ์และมุมมองส่วนตัวเข้ามาว่า สื่งที่คนพัฒนาเว็บกำลังพยายามทำกันต่อก็คือ แก้ไขปัญหาของข้อมูลหรือ Content ที่ไม่มีคุณภาพต่างๆ ที่ WEB 2.0 ได้สร้างขึ้น ซึ่งมีการขยายขนาดและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วทำยังไงละผู้ใช้ถึงจะสามารถเข้าถึง Content หรือสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ง่ายและตรงความต้องการมากที่สุด สะดวกที่สุด ก็เลยมีการพูดถึง
แนะนำให้รู้จักกับ WEB 1.0, 2.0, 3.0, 4.0
The Future Internet: Service Web 3.0
อ่ะ..... พอดีไปค้นเจอมา เป็น Video ที่เขาทำสรุปไว้เกี่ยวกับ WEB 3.0 ทำได้เข้าใจง่ายดี อาจจะเก่าไปนิดหน่อย แต่ดูแล้วก็จะเข้าใจ เห็นภาพ ทั้งที่ผ่านมา ปัจจุบัน และอนาคตของโลกอินเตอร์เน็ต ลองคลิ๊กดูกัน
     สรุป ง่ายๆ ก็คือ  เว็บ 3.0 นี้จะไปเน้นเรื่องการจัดการข้อมูลในเว็บมากขึ้น ดีขึ้น และทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเขัาถึงเนื้องหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเอง และ Web 3.0 ผมมองว่าจะเป็นการพัฒนา แก้ไขปัญหาในระบบเว็บ 2.0 มากกว่าการสร้างบนพื้นฐานความรู้ใหม่  ยังไงก็ค่อยๆ ว่ากันไป เอาเป็นว่า รู้ประมาณนี้ก็พอจะไปประติประต่อกะคนอื่นเขาได้ เวลาเขาพูดถึงคำพวกนี้กันนะครับ

WEB 4.0 คืออะไร
อ่ะ มาว่ากันต่อ WEB 4.0 หรือบางทีเขาเรียกกันว่า “A Symbiotic web” คือเว็บที่ทำงานแบบ Artificial Intelligence (AI) ที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น คอมพิวเตอร์สามารถคิดได้ มีความฉลาดมากขึ้น ในการอ่านทั้งเนื้อหา ข้อความ และรูปภาพ  หรืวีดีโอ สามารถที่จะตอบสนองหรืตัดสินใจได้ว่าจะ load ข้อมูลอะไร จากไหน ที่จะให้ประสิทธิภาพดีที่สุดมาให้ผู้ใช้งานก่อนก่อน  และนอกจากนี้ยังมีรูปแบบการนำมาแสดงที่รวดเร็ว เว็บ 4.0 จะทำให้เว็บ หรือข้อมูลต่างๆ สามารถทำงานได้แทบจะทุก Device หรืออาจจะช่วยระบุตัวตนที่แท้จริงของผู้ใช้เอง
แนะนำให้รู้จักกับ WEB 1.0, 2.0, 3.0, 4.0
อย่างเช่น พวก GPS การใช้งานต่างๆ ที่สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ต่อไปเว็บอาจจะไม่ได้มองที่ข้อมูลที่มีอยู่ แต่อาจจะมองไปในเชิงของ กิจกรรม ที่ผู้ใช้คนนั้นๆ กำลังทำ หรือกำลังหา WEB 4.0 อาจจะกลายเป็นเสมือนเลขาส่วนตัวที่สามารถติดตามเราไปได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองก็ไม่กล้าฟันธงว่า ระบบอย่างพวก 4-Square หรืออีกหลากหลายระบบโปรแกรมบนมือถือ ตอนนี้ได้ก้าวเข้ามาสู่ รุ่นของ WEB 4.0 กันหรือยัง เพราะอย่าง 4-Square นั้น ถ้าเราไป Check-in ที่ไหน ก็จะมีความสามารถในการบอกว่า เพื่อนเราใครเคยมาที่นี่ ละแวกนี้มีร้านอะไร ใครแนะนำยังไง ...ซึ่งผมว่า ทำได้ขนาดนี้ ตอนนี้ก็ถือว่า หล่อพอควรเลยทีเดียว

Posted on 01:30 by Unknown

No comments


ออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย
    การออกแบบที่เรียบง่าย และใช้งานได้ง่ายนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะถ้าเว็บไซต์ออกแบบมาแล้วใช้งานได้ยากนั้น ผู้ใช้ก็จะมีประสบการณ์ไม่ดีต่อเว็บไซต์นั้น และอาจจะไม่เข้ามาใช้งานอีก การออกแบบที่ง่ายต่อการใช้งานนั้นามารถทำได้โดยการตัดส่วนประกอบที่ไม่จำ เป็นออกไป
Layout อยู่ตรงกลาง
    สาเหตุที่เลือกให้ Layout อยู่ตรงกลาง เพราะเป็นรูปแบบการวาง layout ที่เรียบง่ายที่สุด ผู้ใช้มีประสบการณ์ในการใช้งานเว็บไซต์ที่วาง layout อยู่ตรงกลางอยู่แล้ว จึงง่ายที่จะเรียนรู้ และใช้งาน
มี Column ให้น้อยที่สุด
    เมื่อก่อนการใช้งาน 3 หรือ 4 Column ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติ แต่ในยุตเว็บ 2.0 นั้น 2 Colums ก็ถือว่ามากไปแล้ว สาเหตุที่ไม่ใช้ column มากเกินไปนั้น เพราะ ถ้าในหน้าเว็บมี column น้อยที่สุดจะมีทำให้หน้าเว็บนั้นดูแล้วไม่สับสน ดูสบายตา แต่ถ้าจะเลือกใช้งานมากกว่า 2 column ก็สามารถทำได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่จะนำเสนอภายในหน้าเว็บเพจนั้น ถ้าดูแล้วข้อมูลไม่รก หรือสับสนจนเกินไปก็สามารถใช้งานได้
แยกส่วนหัว (Header) ของเว็บออกมาให้ชัดเจน
    ส่วนหัวของหน้าเว็บเพจถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง เพราะจะเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้งานทราบจุดเริ่มต้นของหน้าเพจนั้นๆ และจะช่วยให้ผู้ใช้ทราบด้วยว่ากำลังใช้งานเว็บไซต์ใดอยู่ (ถ้าไม่ได้เข้ามาจากเว็บไซต์นั้นโดยตรง) เพราะฉะนั้นการทำให้ส่วนหัวของเว็บไซต์เด่นชัดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอีก เรื่องหนึ่ง อาจจะทำได้โดยการใช้สีที่มีความแตกต่าง การใช้ภาพประกอบ หรือใส่ Logo ให้มีความแตกต่าง และน่าสนใจ
แบ่งพื้นที่การแสดงข้อมูลออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน
    หน้าเว็บเพจส่วนใหญ่จะใช้สำหรับแสดงข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ถ้าไม่มีการแบ่งข้อมูลที่เป็นตัวอักษรออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจนแล้วนั้น การใช้งาน การดูข้อมูลของผู้ใช้งานอาจจะเกิดความสับสนได้
ใช้ Navigation ที่ง่าย
    Navigation เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ภายในเว็บไซต์ได้สะดวก บอกผู้ใช้ให้ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ส่วนใดของเว็บไซต์ และช่วยให้ผู้ใช้รู้ว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างจากหน้าเพจนั้นๆ เพราะฉะนั้นการออกแบบจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกแบบมาให้สามารถใช้งาน ได้ง่าย และไม่ซับซ้อนเกินกว่าที่ตัวของผู้ใช้งานจะสามารถเรียนรู้การใช้งานได้ด้วย ตัวเอง
โลโก้ต้องชัดเจน
    Logo ถือเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงตัวตนของเว็บไซต์นั้นๆ Logo ช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่เว็บซต์อะไร และช่วยให้ผู้ใช้งานจดจำเว็บไซต์นั้นๆได้ การออกแบบLogo ที่ดีนั้นจะต้องเป็นการออกแบบที่สื่อถึงจุดมุ่งหมายของเว็บไซต์นั้น มีลักษณะที่เด่นชัด จดจำได้ และเมื่อพบเห็นแล้วให้ผู้ใช้งานเกิดความประทับใจ

ภาพตัวอย่างของ Logo
อักษรตัวใหญ่
    Web 2.0 นั้นนิยมใช้ตัวอักษรที่มีลักษณะใหญ่ เพราะจะช่วยทำให้เว็บเพจน่าสนใจ และช่วยดึงดูดสายตาของผู้ใช้งานไปยังส่วนที่เราต้องการเน้นให้ผู้ใช้งานเข้า ไปใช้งานอีกด้วย อักษรสำหรับ Introduction ต้องชัดเจน
    อักษรที่ใช้สำหรับการแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำเว็บไซต์ แนะนำการใช้งานส่วนต่างๆ จำเป็นที่จะต้องมองเห็น และสามารถอ่านได้อย่างสะดวก โดยการทำให้อักษรชัดเจนนั้นเราสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้สีที่มีความแตกต่างจากส่วนอื่น การใช้ขนาดอักษรที่ใหญ่กว่าส่วนอื่น การใส่กรอ หรือการใช้ภาพมาประกอบเป็นต้น
ใช้สีที่ชัดเจน
    สีถือเป็นอีกองคประกอบหนึ่งที่สำคัญในการออกแบบเว็บไซต์ เพราะสีสามารถสื่อถึงความเป็นตัวตนของเว็บไซต์ได้ ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ก็น่าจะใช้สีเขียวเป็นหลักในการออกแบบ เว็บไซต์ของสวนส้ม ก็ควรจะใช้สีส้น เพื่อสื่อถึงเนื้อหาภายในเว็บไซต์นั้นๆ ในเว็บ 2.0 นั้น สีที่ใช้มักจะนิยมใช้สีที่สด สว่าง เช่นสีเขียว สีชมพู สีฟ้า เป็นต้น
พื้นผิว
    พื้นผิวของเว็บ 2.0 นั้นส่วนใหญ่จะทำเป็นในลักษณะของภาพ 3 มิติ หรือเป็นพื้นผิวที่มีแสงเงา ดูเหมือนพื้นผิวที่เปียกอยู่ เพื่อเป็นการทำให้เว็บไซต์ส่วนงาม และเด่นชัดขึ้นมา การใช้งานพื้นผิวนั้นก็ไม่ควรจะใช้ในปริมาณที่มากเกินไปจนทำให้เว็บไซต์ดูรก ส่วนใหญ่ที่นิยมทำพื้นผิวนั้นก็เช่น ปุ่ม พื้นหลังของเว็บเพจ เป็นต้น

ภาพตัวอย่างพื้นผิวของหน้าเว็บเพจ
Gradients
    เป็นการไล่สี ซึ่งเป็นเทคนิคหนึ่งในการสร้างพื้นผิวของเว็บเพจให้มีความน่าสนใจ การใช้งานก็ไม่ควรใช้มากเกินไปจนทำให้เว็บเพจรก ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการทำพื้นหลังของหน้าเว็บเพจ
Reflections
    เป็นเทคนิคที่ทำให้ภาพเหมือนเกิดเงาสะท้อนขึ้น ซึ่งก็เป็นเทคนิคอีกเทคนิคหึ่งในการสร้างพื้นผิวของหน้าเว็บเพจให้น่าสนใจ
Icon
    ในเว็บ 2.0 นั้นนิยมที่จะนำ Icon เข้ามาประกอบการตกแต่หน้าเว็บเพจ เพื่อให้เกิดความสวยงาม และน่าสนใจขึ้น โดยสามารถแบ่ง Icon ออกได้เป็น 3 แบบคือ
    - Icon ที่ลักษณะธรรมดาทั่วๆไป Icon ลักษณะนี้เมื่อผู้ใช้เห็นก็จะทราบทันทีว่ามันคืออะไร และสื่อถึงอะไร

ภาพตัวอย่าง Icon ที่มีลักษณะทั่วๆไป

    - Icon น่ารักๆ เป็น Icon ที่ใช้เพื่อสร้างความสวยงามให้กับหน้าเว็บเพจ แต่ไม่สื่อว่า Icon นั้นหมายถึงอะไร เพราะฉะนั้นการใช้งานจึงนิยมนำมาทำเป็น Icon ที่ว่าไว้หน้า link ที่เป็นตัวอักษรมากกว่าการใช้งานโดดๆ

ภาพตัวอย่าง Icon น่ารักๆ
    - Icon ที่มีรายละเอียดในตัว โดยมากจะเป็น Icon ที่ใช้ประกอบเช่นเดียวกับ Icon น่ารักๆ การใช้งานจึงมีลักษณะเหมือนกัน แต่ตัวภาพ Icon จะมีรายละเอีดที่สูงกว่า

ภาพตัวอย่าง Icon ที่มีรายละเอียดในตัว

Star flashes
   เป็นกราฟฟิกอีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมใช้เพื่อดึงดูดสายตา ของผู้ใช้งานให้มาสนใจในส่วนนั้นๆ

Posted on 15:01 by Unknown

No comments

Web 2.0 คืออะไร





Web 2.0 เป็นคำที่ถูกคิดขึ้นมาอธิบาย ถึงลักษณะของเทคโนโลยีเวิลด์ไวด์เว็บ และการออกแบบเว็บไซต์ในปัจจุบัน ที่มีลักษณะส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันข้อมูล การพัฒนาในด้านแนวความคิดและการออกแบบ รวมถึงการร่วมสร้างข้อมูลในโลกของอินเทอร์เน็ต แนวคิดเหล่านี้นำไปสู่การพัฒนาและการปฏิวัติรูปแบบเทคโนโลยีที่นำไปสู่ เว็บเซอร์วิสหลายอย่าง เช่น บล็อก เครือข่ายสังคมออนไลน์ วิกิ
คำว่า “Web 2.0” เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง หลังจากงานประชุม O'Reilly Media Web 2.0 ที่จัดขึ้นในปี 2547 คำว่า “Web 2.0” นั้นเป็นคำกล่าวเรียกลักษณะของเวิลด์ไวด์เว็บในปัจจุบัน ตามลักษณะของผู้ใช้งาน โปรแกรมเมอร์และผู้ให้บริการ ซึ่งตัว Web 2.0 เองนั้นไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาทางด้านเทคนิคแต่อย่างใด ทิม เบอร์เนิร์สลี ผู้คิดค้นเวิลด์ไวด์เว็บ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะทางเทคนิคของ Web 2.0 นั้นเกิดขึ้นมานานกว่าคำว่า “Web 2.0” จะถูกนำมาเรียกใช้
Web 2.0 นั้นมีคำจำกัดความหลายอย่าง Tim O'Reilly ได้กล่าวไว้ว่า Web 2.0 เปรียบเหมือนธุรกิจ ซึ่งเว็บกลายเป็นแพลตฟอร์มหนึ่ง ที่อยู่เหนือการใช้งานของซอฟต์แวร์ โดยไม่ยึดติดกับตัวซอฟต์แวร์เหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่ผ่านมา โดยมีข้อมูล ที่เกิดจากผู้ใช้หลายคน (ตัวอย่างเช่น บล็อก) เป็นตัวผลักดันความสำเร็จของเว็บไซต์อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเว็บไซต์ในปัจจุบันมีลักษณะการสร้างโดยผู้ใช้ที่อิสระ และแยกจากกัน ภายใต้ซอฟต์แวร์ตัวเดียวกัน เพื่อสรรค์สร้างระบบให้ก่อเกิดประโยชน์ในองค์รวม Tim O'Reilly ได้แสดงตัวอย่างของระดับของ Web 2.0 ออกเป็นสี่ระดับ ดังนี้
  • ระดับ 3 - ระดับของการใช้งานจากผู้ใช้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นลักษณะของการสื่อสารของมนุษย์ภายใต้เว็บไซต์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น Wikipedia Skype E-bay Craigslist
  • ระดับ 2 - ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อนำมาใช้งานออนไลน์ นั้น จะมีประโยชน์มากขึ้นจากการเชื่อมโยงผู้ใช้งานเข้าด้วยกัน ซึ่ง Tim O’Reilly ยกตัวอย่างเว็บไซต์ Flickr เว็บไซต์อัปโหลดภาพที่มีการใช้งานเชื่อมโยงระหว่างภาพ และเช่นเดียวกันระหว่างผู้ใช้งาน
  • ระดับ 1 - ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มีความสามารถเพิ่มขึ้นมีนำมาใช้งานออนไลน์ ตัวอย่างเช่น Google Docs และ iTunes
  • ระดับ 0 - ระดับที่สามารถใช้งานได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น Mapquest และ Google Maps
โดยลักษณะที่เด่นชัดของ Web 2.0 นั้น จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาและการโต้ตอบระหว่างผู้ให้บริการ และผู้ใช้งาน แทนที่จากระบบเว็บแบบเก่า ที่เป็นลักษณะของการให้บริการอ่านอย่างเดียว โดยรวมไปถึงการรวดเร็ว และการง่ายดายของการส่งข้อมูล แทนที่แบบเก่าที่ต้องจัดการผ่านเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งบล็อกและเว็บที่ให้บริการอัปโหลดภาพถูกนำมาใช้เป็นตัวอย่างของ Web 2.0 ที่ให้เห็นได้ทั่วไป ที่มีการให้บริการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการใช้งานที่ง่าย โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์แต่อย่างใด เห็นได้ว่าลักษณะของ Web 2.0 นั้นก่อให้เกิดการสร้างเนื้อหา ที่รวดเร็ว และมีการแบ่งปันข้อมูลที่ง่ายขึ้น โดยลักษณะของเว็บเปลี่ยนจากทางเน้นหนักทางด้านเทคนิค ไปในด้านข้อมูลข่าวสารแทนที่ และก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านธุรกิจต่อมา
ถึงแม้ว่า Web 2.0 จะมีการนิยมใช้งาน AJAX Flash Flex Java Silverlight ช่วยในการจัดการข้อมูล แต่ตัวเทคโนโลยีเหล่านั้น ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในรูปแบบของ Web 2.0 แต่อย่างใด โดยเทคโนโลยีเหล่านั้นช่วยให้เว็บเพจสามารถดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์มาที่ หน้าเว็บได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องอ่านหน้าทั้งหมดใหม่ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดความสะดวกสบายมากขึ้น
คุณลักษณะของเว็บ 2.0
  1. หลังจากที่ดอตคอมในยุคนั้นได้ล่มสลายลงไป แนวคิดของการสร้างสรรค์ธุรกิจเว็บไซต์ และการออกแบบต่าง ๆ ได้มีพัฒนาการที่สำคัญเพิ่มขึ้นเช่น เรื่องความน่าสนใจของแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ รวมถึงวิธีการดำเนินธุรกิจออนไลน์ด้วยแนวทางใหม่ๆ จึงได้กำหนดคุณลักษณะของเว็บ 2.0 ดังนี้
  2. ลักษณะเนื้อหามีการแบ่งส่วนบนหน้าเพจเปลี่ยนจากข้อมูลก้อนใหญ่มาเป็นก้อนเล็ก
  3. ผู้ใช้สามารถเข้ามาจัดการเนื้อหาบนหน้าเว็บได้และ สามารถแบ่งปันเนื้อหาที่ผ่านการจัดการให้กับกลุ่มคนในโลกออนไลน์ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของสังคมออนไลน์สังคมออ นไลน์เกิดความเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น เกิดกิจกรรมบนนั้นมากขึ้น
  4. เนื้อหาจะมีการจัดเรียง จัดกลุ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม
  5. เกิดโมเดลทางธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจเว็บไซต์กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล
  6. การบริการ คือ เว็บที่มีลักษณะเด่นในการให้บริการหลาย ๆ เว็บไซต์ที่มีแนวทางเดียวกัน
จาก Web1.0 สู่ยุค Web2.0

เว็บรุ่นเก่านั้น Content มักเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของเว็บ ที่ไม่ต้องการให้นำไปลงที่อื่น แต่ด้วยความเป็นเครือข่ายที่เปิดกว้างของ Web2.0 กติกานี้จึงเปลี่ยนไป เจ้าของเนื้อหากลับต้องการให้เนื้อหาของตัวเองแพร่หลายมากที่สุด เช่น Youtube ให้แปะ Code สั้นๆ แล้วนำคลิปไปฉายในเว็บใดก็ได้ หรือ Blog แทบทุกแห่งก็มี RSS ให้ผู้อ่านเข้าดูผ่านโปรแกรมอื่นๆ หรือเว็บอื่นๆ ได้

และนี่คือตัวอย่างของ รูปแบบของเว็บไซต์ ที่เปลี่ยนจาก Web1.0 ไปสู่ยุค Web2.0

Web1.0
doubleClick.com ระบบแปะแบนเนอร์โฆษณาตายตัว
ofoto.com เว็บอัลบั้มเก็บรูปออนไลน์แบบเก่า
akamai.com เว็บศูนย์กลางรับฝากไฟล์ให้ดาวน์โหลด
britannica.com จับสารานุกรมมาออนไลน์ใส่เว็บ
Homepage ส่วนตัว ผู้เขียนต้องมีความรู้พื้นฐานการทำเว็บ และยากที่จะแบ่งปันส่งต่อเนื้อหาออกไป
แข่งกันจอง Domain Name ชื่อเว็บดีๆ ไว้เก็งกำไร

Web2.0
Google Adsense ระบบโฆษณาเป็นลิงค์ตามแต่คำที่ผู้ใช้ค้นหา
flickr.com เว็บอัลบั้มเก็บและแชร์รูปออนไลน์ที่มีการโยงใยเป็นชุมชน ส่งต่อรูปกันง่าย
BitTorrent ระบบที่ผู้ใช้ต่างก็ดาวน์โหลดไฟล์จากกันและกันเอง
wikipedia.com เว็บสารานุกรมที่ผู้ใช้บัญญัติคำกันเอง ให้ความหมายกันเอง และแก้ไขคำของคนอื่นได้ตลอดเวลา
Blog เขียนง่าย ใส่รูป เสียง คลิปได้ง่ายๆ เหมือนส่งเมล เผยแพร่ส่งต่อได้กว้างขวาง
SEO (Search Engine Optimization) ลงทุนกับเทคนิคทำให้ลิงค์เว็บบริษัทตัวเองได้อยู่หน้าแรกบนๆ ใน Google, เสิร์ชอื่นๆ

Posted on 14:59 by Unknown

No comments

Dropbox เป็น เครื่องมือที่ทำให้สามารถ เรียกใช้ ไฟล์งานต่างๆ ของเราเอง หน่วยงานเพื่อ share file ได้ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งไหน ใช้คอมพิวเตอร์ Notebook, PC หรือ มือถือ ก็สามารถเข้าถึงไฟล์งานได้อย่างง่ายดาย และตรงกันเสมอ ไม่ว่าจะมีการเพิ่ม ลด แก้ไข ไฟล์ใดๆ ใน Folder ของ Dropbox

Dropbox ดีอย่างไร?

Dropbox มีข้อดีต่างๆ มากมาย ที่ช่วยให้ชีวิตประจำวัน หรือการทำงานสะดวกยิ่งขึ้น ดังนี้
ทำให้ตรงกัน (Synchronize) Dropbox จะทำไฟล์ใน Folder Dropbox ให้ ‘ตรงกันเสมอ’ (Synchronize) โดยมีพื้นที่ฟรีให้มากถึง 2GB และใช้ได้ทั้งบน Windows, Mac, Linux, มือถือ และ Web-based. ไม่ว่าไฟล์ๆ นั้น จะถูกแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อใด Dropbox จะรู้และ Update ให้กับเครื่องอื่นๆ อัตโนมัติทันที
แบ่งปันไฟล์ (File Sharing)

แชร์โฟลเดอร์ต่างๆ ให้กับคนอื่นๆ เพื่อให้ ‘ทำงานร่วมกันได้’ (Collaboration) นอกจากนี้ ยังสร้าง Public Link ให้ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย
สำรองข้อมูล (Online Backup)

Dropbox ทำให้คุณหมดห่วงเรื่อง สำรองข้อมูล เพราะ Dropbox ทำให้คุณอย่างอัตโนมัติโดยคุณไม่ต้องกังวลใดๆ เลยเข้าผ่านเว็บไซต์ (Web Access) ไฟล์อีกชุดนึง จะเก็บไว้บน Internet เพื่อให้คุณเข้าถึงไฟล์ได้ทุกสถานที่ ที่ Internet สามารถเชื่อมต่อได้ และมีความปลอดภัยสูง

Posted on 21:11 by Unknown

No comments

หากคุณมีปัญหาลืม flashdrive ไว้ที่บ้าน ในขณะที่คุณที่ทำงานแล้ว  ซึ่งไฟล์ใน flashdrive นั้นเป็นไฟล์สำคัญมากๆแน่นอนคุณก็จะต้องเสียเวลาทุกอย่างเพื่อจะเอาไฟล์สำคัญนั้นมาให้ได้ หรือบางครั้งคุณส่งไฟล์สำคัญขึ้นอีเมลล์ของตัวเอง หากต้องแก้ไขคุณก็ต้องมา download แล้วมาแก้ไขแล้วส่งขึ้นเมลล์ตัวเองใหม่อีก ปัญหานี้จะหมดไปด้วยโปรแกรมกล่องวิเศษอย่าง Dropbox




Dropbox เป็นเหมือนกล่องวิเศษ ที่ทำให้ไฟล์ของคุณ ติดตัวคุณไปทุกที่ทุกเวลาทั่วทุกมุมโลก…ช่วยให้คุณสามารถนำรูปภาพ เอกสาร หรือวีดีโอ ติดตัวไปด้วยทุกที่และก็ไปเรียกใช้ ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้ทีเราต้องการ ขอเพียงแค่มี internet เชื่อมต่ออยู่ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง update file ที่เครื่องไหน file นั้นๆก็จะถูก update อัตโนมัติให้ตรงกันในทุกๆเครื่องทันที ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์เครืองอื่นๆของเราที่ใช้ log in ตรงกันด้วย  เพราะ Dropbox นี้จะเชื่อมโยงข้อมูล ซิงค์ไฟล์งานต่างๆ ที่มีอยู่ทั้ง สมาร์ทโฟน แทปเล็ท พีซี และโน๊ตบุ๊ค ของคุณ เข้ากับเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลในอินเทอร์เน็ตซึ่งอยู่บนอากาศ  เรียกหลักการทำงานนี้ว่า Cloud Computing คือเป็นระบบที่ทำงานประมวลผลแทนที่จะทำที่เครื่องคอมพิวเตอร์เราเอง ก็ไปทำบน server ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งนิยมใช้หลายด้าน เช่น ฝากเก็บข้อมูล แชร์แบ่งปันข้อมูล และ ประมวลผลข้อมูลด้วย

แต่ถ้าหากเราไม่ได้ ติดตั้ง โปรแกรม Dropbox ลงในเครื่อง เราก็ยังสามารถเข้าถึงไฟล์ต่างๆที่เราเก็บไว้กับ Dropbox ได้ผ่านทาง เว็บไซต์  www.dropbox.com ได้ โดยเพียง login ด้วยบัญชี Dropboxก็จะเข้าสู่หน้าจัดการไฟล์ เหมือนฝากงานผ่าน ftp ธรรมดาผ่านทางเว็บบราวเซอร์




Dropbox รองรับทุกระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แม้แต่ระบบปฏิบัติการ บนสมาร์ทโฟน ก็ใช้ได้สำหรับ ไอโฟน, แบล็คเบอร์รี่, แอนดรอย และซิมเบี้ยน


Dropbox ไม่เพียงแค่เก็บไฟล์หรือ ซิงค์ไฟล์ เท่านั้น แต่ยังสามารถเลือก share file ของเรากับเพื่อนหรือคนในครอบครัวเราก็ได้ เช่น อยากจะแชร์ให้คุณแม่ได้ดูภาพหรือวีดีโอที่เราไปเที่ยวมาขณะที่เราอยู่ต่างประเทศ ก็ทำได้ และที่ดูจะมีประโยชน์ต่อการทำงานหรือการเรียนก็เช่น แชร์ไฟล์เอกสาร สไลด์นำเสนองาน  ภาพ หรือวีดีโอกับเพื่อนร่วมทีมของเรา เป็นต้น


Posted on 20:50 by Unknown

No comments